iPhone 6 แตกต่างจาก iPhone 6 Plus ตรงไหนบ้าง มาดูกัน

ธรรมดาเมื่อ Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ สาวกไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก เพราะมันมีแค่รุ่นเดียว อยากได้คือซื้อ ในครั้งก่อนแม้จะเป็น 2 รุ่น คือ iPhone 5s และ iPhone 5c แต่ก็รู้โดยทั่วกันว่า iPhone 5c ก็เหมือน iPhone 5 นั่นเองสเป็คต่างกันแค่เล็กน้อย โดยที่ iPhone 5s เป็นเรือธงตัวใหม่เอี่ยม จึงเลือกไม่ยากเท่าไหร่

แต่ในปีนี้ Apple ออกเรือธงออก iPhone 6 ออกมาทีเดียวถึง 2 รุ่น หน้าจอมี 2 ขนาด 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว ซึ่งทั้งสองรุ่นมีฮาร์ดแวร์ที่แตกต่างกันหลายจุด มาดูกันว่ามีอะไรที่เหมือนหรือแตกต่างกันบ้าง

ขนาดและน้ำหนัก

iPhone 6
มีขนาดของตัวเครื่อง 138.1 x 67 x 6.9 มม. น้ำหนัก 129 กรัม หนักกว่า iPhone 5s เล็กน้อย

iPhone 6 Plus
​มีขนาดของตัวเครื่อง 158.1 x 77.8 x 7.1 มม. น้ำหนัก 172 กรัม หนักกว่า iPhone 5s พอควร แต่ก็ยังเป็นน้ำหนักที่เบามากอยู่นะ

สรุปเรื่องน้ำหนักไม่ใช่จุดที่น่าสนใจมากนัก

ขนาดของหน้าจอ 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว

ขนาดของหน้าจอไอโฟนไม่เคยเป็นเรื่องที่เราต้องสงสัยมาก่อน แต่ใน iPhone 6 มันมีความแตกต่างจนเป็นประเด็นที่เราต้องพูดถึง

iPhone 6 Plus มาพร้อมหน้าจอ Full HD (Retina HD) ความละเอียด 1920x1080 (401ppi) มีความละเอียดสูงกว่าไอโฟนรุ่นก่อนที่มีแค่ 326ppi  และด้วยขนาดถึง 5.5 นิ้ว การรับชมวิดีโอบน iPhone Plus จึงเต็มตาได้อารมณ์มากกว่านะ

ส่วน iPhone 6 มีหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334x750 พิกเซล ความละเอียด 326ppi เหมือนไอโฟนรุ่นก่อน จุดนี้น่าเสียดาย เพราะ HTC One รุ่นแรกที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว มีหน้าจอ 4.7 นิ้ว เช่นกัน แต่ให้ความละเอียด Full HD

อย่างไรก็ตามจำนวนพิกเซลไม่ใช่ทุกอย่างของหน้าจอ ไอโฟน 6 ทั้ง 2 รุ่น มีค่า Contrast ratios ที่สูงมาก ทำให้การแสดงสีทำได้สมจริง iPhone 6 1400:1, iPhone 6 Plus 1300:1 และความสว่างของทั้งคู่อยู่ที่ 500cd/m2)

เราสรุปได้ว่าคุณภาพในการแสดงผลไม่ต่างกันมากนัก การเลือกเลยต้องไปดูที่ลักษณะการใช้งานแทน จุดนี้ถ้าใครต้องการใช้งานมือเดียว iPhone 6 น่าจะเหมาะมือกว่า เพราะ iPhone 6 Plus ตัวเครื่องมีขนาดใกล้เคียงกับ Note 4 เลยล่ะ ต้องใช้งาน 2 มือเท่านั้น

การแสดงผลของแอปฯ

ด้วยขนาดของหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น Apple เลยพัฒนาให้การแสดงผลของแอปฯบน iPhone 6 Plus โชว์อะไรได้มากกว่า และรองรับการแสดงผลในแนวนอนเหมือนกับ iPad ได้ด้วย

สำหรับปัญหาการแสดงผลของแอปฯเดิม Apple แก้ปัญหาด้วยการพัฒนา "Desktop class scaler" ซึ่งจะปรับขนาดให้เต็มจออัตโนมัติ ทำงานได้ดีกว่า Smart Zoom บน iPad เป็นฟีเจอร์ที่จะมาพร้อมกับ iOS 8

ประสิทธิภาพ

ทั้ง iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาพร้อมกับซีพียูตัวใหม่ A8 และชิพจับความเคลื่อนไหวตัวใหม่ด้วยเช่นกัน M8 ซึ่งทาง Apple เคลมว่าเร็วกว่า ชิพ A7 ในด้านการประมวลผลถึง 20% และประมวลผลกราฟฟิคได้เร็วกว่าเดิมถึง 50% 

ที่น่าสนใจคือ การปรับปรุงความร้อนที่เกิดขึ้น Apple พัฒนาให้มันรักษาระดับอุณหภูมิไว้ค่อนข้างคงที่แม้จะมีการประมวลผลอย่างหนักก็ตาม

ด้านการเชื่อมต่อ iPhone 6, 6 Plus ใส่ NFC และชิพโมเด็มตัวใหม่ซึ่งรับสัญญาณ LTE ได้กว้างกว่าเดิม รองรับเครือข่ายได้หลากหลายและมีความเร็วที่สูงขึ้น และรองรับเทคโนโลยี VoLTE ที่ทำให้คุณภาพเสียงในการสนทนาดีกว่าเดิมอีกด้วย (บ้านเรายังไม่มีให้บริการนะ)

กล้อง iSight

กล้องของ iPhone 6 และ 6 Plus มีความละเอียด 8MP เท่าเดิมก็จิง แต่ทว่ามีการปรับปรุงเซนเซอร์ให้ดีขึ้นกว่าเดิม F2.2 Aperture พร้อมแฟลชทรูโทนเช่นเคย และทีเด็ดคือ Focus Pixels ที่เพิ่มเข้ามาทำให้ Autofocus ได้เร็วกกว่าเดิม 2 เท่า และตรวจจับใบหน้า,รอยยิ้ม ได้ไวกว่าเดิม รวมถึงสามารถ Continuous autofocus ต่อเนื่องขณะถ่ายวิดีโอ

นอกจากนียังมีความสามารถในการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงที่ FPS มากกว่าเดิมได้อีกด้วย การถ่ายกล้องหน้าแบบ HDR, Burstmode ที่ทำให้การ Selfie ทำได้ดีกว่าที่เคย

แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อแตกต่างที่ผมว่าเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus แตกต่างกันอย่างมาก นั่นคือ iPhone 6 Plus มีระบบ OIS (Optical Image Stabilisation) มันเป็นระบบกันสั่นด้วยฮาร์ดแวร์ ทำให้ภาพที่ได้มีโอกาสเบลอต่ำ

ขนาดของแบตเตอรี่

                                                 iPhone 6                                       iPhone 6 Plus

iPhone 6 Plus  มีขนาดของแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่า iPhone 6 แม้ว่าหน้าจอจะกินไฟมากกว่าแต่โดยรวมแล้ว มันก็ใช้งานได้ยาวนานกว่า iPhone 6 อยู่ดี

สรุปภาพรวมของ iPhone รุ่นใหม่

iPhone 6 เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Apple มีจุดขายที่หน้าจอขนาดใหญ่กว่าเดิม และตัวเครื่องที่เป็น Anodized aluminium การปรับปรุงแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น หน่วยความจำที่มีให้เลือกมากถึง 128GB และสุดท้ายลูกเล่นที่หลายคนเรียกร้อง NFC ในที่สุด Apple ก็ใส่มาให้ เพื่อรองรับกับบริการ Apple Pay

ทั้งคู่ออกแบบมาได้ดี แต่จุดที่ไม่เข้าใจ(จริงๆนะ) ทำไมระบบกันสั่น OIS ถึงใส่มาให้แค่ใน iPhone 6 Plus เพราะทั้งคู่ก็จัดเป็นเรือธงของค่าย Apple และราคาก็แพงทั้งคู่ ที่จริงน่าจะใส่มาให้ด้วยนะ สมมติผมต้องการใช้จอแค่ 4.7 นิ้ว เพราะยังพอใช้งานมือเดียวได้บ้าง แล้วผมอยากใช้ OIS ด้วย ก็จะเกิดความลำบากใจขึ้นมาทันที

ถ้าต้องเลือก iPhone 6 เป็นสมาร์ทโฟนที่ดี แต่การซื้อของรุ่นใหม่ สิ่งที่ดีที่สุดคงต้องยอมรับว่า iPhone 6 Plus ครบเครื่องกว่านะ