เมื่อประมาณสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการเล่นชาเลนจ์กันบนโลกออนไลน์และหนึ่งในนั้นสำหรับวงการหนังก็มีแฮชแท็คนึงผุดขึ้นมากับ #FivePerfectFilms หรือ #FivePerfectMovies หลายคนอาจจะเคยเห็นผ่านๆ ตา และหลายคนอาจจะเคยเล่นไปแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทางนักแสดงและผู้กำกับหลายคนต่างก็หยิบมาเล่นเมื่อยามว่างๆ ติดวิกฤติไวรัสโคโรน่าอยู่บ้าน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ James Gunn
https://www.rollingstone.com/movies/movie-news/james-gunn-reinstated-guardians-of-the-galaxy-vol-3-director-808885/
James Gunn ได้ระบุไว้ว่าคำว่า Perfect Films สำหรับเขามันไม่ใช่หนังที่ชอบที่สุดหรือเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่มันคือหนังที่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีข้อผิดพลาดอะไรให้เห็นเลยแม้แต่จุดเดียว ทั้งด้านสุนทรียะหรือโครงสร้าง, ไม่มีตรรกะที่ผิดพลาดแต่อย่างใด
What is a "Perfect Film"? For me, a perfect film can be different from a favorite film, or a great film. A perfect film is something that sings from start to finish with no obvious mistakes, whether they be aesthetic or structural. There are no logical lapses. #FivePerfectMovies
— James Gunn (@JamesGunn) April 21, 2020
ซึ่งเขาก็สาธยายเรื่องต่างๆ ออกมา ไล่ไปตั้งแต่ The Good, The Bad and The Ugly, Breaking Away, Raiders of the Lost Ark ที่บอกว่าหนังเหล่านั้นเขาชอบแต่ยังไม่สมบูรณ์แบบ (Perfect)
For instance, The Good, The Bad, and The Ugly is one of my all time favorite movies. But the weird shift in the civil war section harms the perfect flow of the film. The highs might be higher than a movie like, say, Babe, which is to me perfect, but it's not perfect.
— James Gunn (@JamesGunn) April 21, 2020
Likewise, the film Breaking Away is pretty wonderful, but the homophobic (and incredibly dumb) washing-my-balls joke with the gay bowler in the middle of the movie stops it from being perfect, even if I like it more overall then many "perfect" films.
— James Gunn (@JamesGunn) April 21, 2020
Raiders of the Lost Ark is almost perfect. But the fact that Indy accomplishes nothing in the movie (that is, if he was never involved at all, the story would have the same exact climactic moment - the Nazis would open pandora's box and melt) stops it from being perfect.
— James Gunn (@JamesGunn) April 21, 2020
แต่มีอยู่เรื่องนึงที่เค้าบอกว่ามัน "เหมือนจะ" ไม่สมบูรณ์แบบ แต่แท้จริงแล้วมันสมบูณณ์แบบที่สุด เขาก็ได้จัดมา 5 อันดับ
Again, I think people are using this hashtag in a different way than me, but that's how I perceive it. Here are five more perfect films:
— James Gunn (@JamesGunn) April 21, 2020
1) Back to the Future
2) Chinatown
3) Rashomon
4) Eternal Sunshine of the Spotless Mind
5) The Thing#FivePerfectMovies #fiveperfectfilms
อันดับหนึ่งในนั้นคือ Back to the Future (1985) ผลงานการกำกับของ Robert Zemeckis และเขียนบทร่วมกับ Bob Gale นำแสดงโดย Michael J. Fox และ Christopher Lloyd ที่หลายคนต่างบอกว่ามันเป็นหนังที่มาก่อนกาลมากๆ
แต่มันก็มีช่องโหว่วใหญ่ๆ อยู่หนึ่งอย่างที่หลายคนอาจจะคิดว่า ทำไมพ่อแม่ของ Marty ถึงจำเขาไม่ได้ว่าเขาเคยช่วยทำให้พ่อแม่ได้คบกัน แต่ James Gunn ได้บอกว่าเขาเคยคุยเรื่องนี้กับ Bob Gale แล้ว และก็ได้เข้าใจ
ผมจำได้ว่า George และ Lorraine (พ่อแม่ของ Marty) รู้จัก Calvin (Marty) เพียง 6 วันเท่านั้นเมื่อพวกเขาอายุได้ 17 ปี และพวกเขาก็ไม่ได้เห็นลูกตัวเองทั้ง 6 วันเต็มด้วย ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี พวกเขาอาจจะจำได้แหละว่าเด็กที่น่าสนใจคนนี้คือคนที่ทำให้พวกเขาได้ออกเดตกันครั้งแรก
แต่รู้อะไรไหม เมื่อผมถามทุกคนให้คิดย้อนกลับไปช่วงมัธยมปลายและถามพวกเขาว่าพวกเขาจำเด็กบางคนได้ดีแค่ไหนเมื่อเด็กคนนั้นเรียนกับพวกเขาทั้งเทอมเลยด้วย หรือใครบางคนก็ตามที่คุณออกไปเที่ยวด้วยครั้งนึง จะจำได้ไหม? ถ้าไม่มีรูปถ่ายอะไรของพวกเขาเลย หลังผ่านไป 25 ปี คุณอาจจะได้แหละแต่เพียงเลือนลางเท่านั้น
ดังนั้น Lorraine และ George อาจคิดว่านี่เป็นเรื่องตลกก็ได้เมื่อเขาได้เจอใครบางคนที่ชื่อ Calvin Klein หรือแม้กระทั่งคิดว่าลูกของพวกเขาตอนอายุ 16 หรือ 17 มีความคล้ายคลึงกับคนที่ชื่อ Calvin มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมกล้าพนันเลยว่าให้คุณไปหยิบหนังสือรุ่นในตอนมัธยมปลายออกมาดู และหารูปเพื่อนๆ ของคุณที่รุ่นเดียวกันและคุณจะตระหนักได้ว่าบางคนหน้าตาเหมือนลูกคุณเลย
ผ่านไป 35 ปี หนังเรื่อง Back to the Future คือ Pop-Culture แห่งยุค และก็ยังคงเป็นหนังที่ถูกอกถูกใจ อยู่ในลิสต์หนังที่ชอบ หรือเป็นหนังโปรดของใครอีกหลายคนมากมายทั่วโลก เสียงวิจารณ์ในแง่บวกแบบสุดๆ และทำรายได้ทั่วโลกไปสูงถึง 388 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 12,549 ล้านบาท) จากทุนสร้างเพียง 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น (ประมาณ 614 ล้านบาท) แถมยังเข้าชิงรางวัลออสการ์ 4 สาขา และคว้าไป 1 สาขา (Best Effects, Sound Effects Editing) รวมถึงเข้าชิงลูกโลกทองคำอีก 4 สาขา
เชื่อเลยจริงๆ ว่าอีกนานกว่าจะมีหนังที่ทำได้แบบนี้ออกมาอีกครั้ง...(หรืออาจจะไม่มีเลยก็เป็นได้)
|
สบายสบายให้มันสมายเวลาสบายแล้วจะได้สบายสมาย... :) |