ผู้เชี่ยวชาญกังวล การยกเลิกการสนับสนุน Windows 10 จะทำให้ E-Waste พุ่งสูง

การที่ทางไมโครซอฟท์นั้นได้พยายามบีบให้ผู้ใช้งาน Windows 10 อัปเกรดไปเป็น Windows 11 นั้นเรียกว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจาก Windows 11 มีความต้องการสเปคของคอมพิวเตอร์ที่สูงจนหลายเครื่องไม่สามารถอัปเกรดได้ ทางไมโครซอฟท์แทนที่จะช่วยเหลือเชิงระบบแต่ก็กลับทำการหยุดการให้การสนับสนุนด้านความปลอดภัยบน Windows 10 เพื่อบีบให้ผู้ใช้งานซื้อเครื่องใหม่ โดยนโยบายนี้นอกจากจะสร้างความไม่พอใจให้ผู้ใช้งานแล้ว ผู้เชี่ยวชาญยังออกเตือนว่า การกระทำเช่นนี้ส่งผลลบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

จากรายงานโดยเว็บไซต์ Futurity ได้กล่าวถึงการที่ทางผู้เชี่ยวชาญจากหลากองค์กรได้ออกมาเตือนว่า การที่ทางไมโครซอฟท์บีบบังคับให้ Windows 10 เข้าสู่ช่วงสิ้นอายุการใช้งาน (End-of-Life) เพื่อที่จะดึงให้ผู้ใช้งานทำการเปลี่ยนมาใช้งาน Windows 11 แม้จะหมายถึงต้องเปลี่ยนคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าเป็นเครื่องใหม่ก็ตาม นั้นจะส่งผลให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Waste หรือ E-Waste) เป็นปริมาณมหาศาล

โดยเริ่มต้นจากกลุ่มนักวิจัยจากสถาบัน Georgia Tech’s School of Interactive Computing (SIC) ได้ออกมากล่าวว่า การที่ทางไมโครซอฟท์ได้ออกมาบีบให้ผู้ใช้งานต้องเปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์เนื่องจากมีความจำเป็นต้องมาใช้งาน Windows 11 จากการที่ Windows 10 จะไม่ได้รับการสนับสนุนด้านความปลอดภัยอีกต่อไป นั่นหมายความว่า จะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบมากกว่า 240 ล้านเครื่อง ที่มีโอกาสกลายเป็น E-Waste

รวมทั้งได้อธิบายขั้นตอนของการกำจัดขยะ E-Waste เหล่านี้ว่า หลังจากที่คอมพิวเตอร์ หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ถูกทิ้งเป็นขยะ ขยะเหล่านี้ก็จะถูกนำไปเทรวมกันในหลุมขยะ (Landfill) เมื่อเวลาผ่านไปตัวขยะก็จะเริ่มย่อยสลายและปล่อยแก๊สเรือนกระจกในรูปแบบแก๊สมีเทนออกมา นอกจากนั้นแล้ว ในขั้นตอนการผลิตนั้นก็มีขั้นตอนที่ใช้พลังงานมหาศาลอย่าง การขุดแร่, สกัดแร่, และนำเข้ากระบวนการให้พร้อมนำไปใช้งาน ส่งผลต่ออุณหภูมิของโลกเช่นเดียวกัน โดยทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการที่บริษัทด้านเทคโนโลยี ได้ดำเนินการผลิตสินค้าที่ถูกทำให้เสื่อมถอยโดยวางแผนไว้แล้ว (Planned Obsolescence) เพื่อที่ลูกค้าจะได้เปลี่ยนอุปกรณ์เป็นของรุ่นใหม่ที่ทางบริษัทผลิตออกมาอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอมพิวเตอร์ที่มีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนค่อนข้างสูง ซึ่งคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปราคาจะเริ่มต้นที่ 300 ดอลลาร์สหรัฐ (9,718.49 บาท) ไปจนถึงคอมพิวเตอร์สำหรับการเล่นวิดีโอเกมที่มักจะราคาทะลุ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ (80,987.45 บาท) เลยทีเดียว

นอกจากนั้น ทางนักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์จากสถาบัน School of Cybersecurity and Privacy (SCP) ยังได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงว่า การบังคับให้ผู้ใช้งานต้องเปลี่ยนเครื่องเพราะไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้นี้ ทำให้ผู้ใช้งานที่ยังคงต้องใช้ Windows 10 เนื่องด้วยเหตุจำเป็นนานาประการนั้น จะต้องตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงต่อภัยไซเบอร์จากทั้งแฮกเกอร์, สแกมเมอร์ และมัลแวร์ เป็นอย่างมาก เนื่องจากถึงแม้จะมีการต่ออายุการสนับสนุนด้านความปลอดภัยให้กับผู้ที่จ่ายค่าบริการให้ก็ตาม หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งปี ผู้ใช้งานก็จะถูกบังคับให้เปลี่ยนเครื่องอยู่ดี และถ้าไม่เปลี่ยน ผู้ใช้งานก็จะตกเป็นเป้าของแฮกเกอร์ที่มุ่งโจมตีผู้ใช้งานที่ไม่ถูกคุ้มครองจากผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อย่างผู้ใช้งาน Windows 10 และจะนำไปสู่การเติบโตของอาชญากรรมทางไซเบอร์ในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ทางทีมวิจัยจากสถาบัน SIC ได้แนะนำให้ผู้ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่อง อย่าทิ้งเครื่องเก่า และถ้าต้องการความปลอดภัยในการใช้งานอาจเปลี่ยนจาก Windows 10 มาติดตั้ง Linux Mint ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการประเภท Linux ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับผู้ที่คุ้นเคยกับการใช้งาน Windows ที่มีจุดเด่นที่สามารถติดตั้งได้ทุกเครื่อง ใช้สเปคค่อนข้างต่ำ (ใช้แรม 2 GB, พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ 20 GB และขนาดความละเอียดในการแสดงผลที่ 1024×768) ทั้งยังมีระบบรักษาความปลอดภัยในตัว นอกจากนั้น ยังแจกฟรีอีกด้วย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ไม่อยากทิ้งคอมเก่า แต่ยังคงต้องการการใช้งานอย่างปลอดภัยต่อไป