ในช่วงปีแรกที่ Tesla ทำการเปิดตัวรถไฟฟ้า หรือ รถ EV นั้น ผู้อ่านหลายท่านอาจจะได้เห็นแล้วว่ากระแสค่อนข้างมาแรงมากในหลายแห่งทั่วโลก โดยเฉพาะในไทยรถยนต์ Tesla ได้กลายเป็นทั้งเครื่องวัดความเป็นคนยุคใหม่ และเครื่องวัดฐานะไปโดยปริยาย มีการสั่งจองที่มีจำนวนมากในช่วงเวลานั้น แต่จากข่าวนี้คุณอาจพบว่า สถานการณ์บางอย่างได้แปรเปลี่ยนไป
จากรายงานโดยสำนักข่าว BBC พบว่าทาง Tesla นั้นได้มียอดส่งรถของตนสู่มือลูกค้าทั้งหมดรวมแล้วน้อยกว่า 387,000 คัน ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขใน 1 ไตรมาสที่น้อยมากเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเมื่อเทียบแบบปีต่อปีแล้วตัวเลขลดลงถึง 8% และเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ค.ศ. 2023 (พ.ศ. 2566) พบว่าตัวเลขของยอดส่งลดลงถึง 20% ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัท Tesla หดตัวลงถึง 4% หลังการประกาศตัวเลข
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น สาเหตุหนึ่งมาจากที่ทางบริษัทต้องประสบกับหลากปัญหาในช่วงปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์ไฟไหม้ที่โรงงานในประเทศเยอรมนี ซึ่งคาดการณ์ว่าเกิดจากความพยายามในการวางเพลิง ไปจนถึงในเหตุการณ์กบฏฮูตี ที่ขัดขวางเส้นทางขนส่งในเขตทะเลแดง
นอกจากนั้นแล้วทางบริษัทยังต้องประสบกับอุปสรรคอื่น ๆ อีก เช่น การเติบโตของคู่แข่งในวงการเดียวกับอย่าง BYD ซึ่งเป็นบริษัทของจีน ส่งผลให้ความต้องการรถยนต์ที่ผลิตโดย Tesla ในจีนนั้นลดลงไปด้วย นำมาสู่สงครามราคาที่ทำให้ Tesla จำใจต้องลดราคาผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อสู้ในตลาดนี้ รวมไปถึงเหตุการณ์ด้านเศรษฐกิจที่เกิดการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีพลังในการใช้จ่ายน้อยลง เป็นผลให้การตัดสินใจซื้อรถยนต์ลดน้อยถอยลงไป
ทาง Tesla ยังถูกรุมเร้าด้วยปัญหาทั้งทางด้านเทคนิค และจากตัวผู้บริหารเอง โดยในทางเทคนิคนั้น ระบบการขับเคลื่อนแบบไร้คนขับซึ่งคาดการณ์ว่าจะมาปฏิวัติวงการการขับขี่ กลับอยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบในด้านประเด็นความปลอดภัยอย่างหนัก อีกทั้งทางนักลงทุนซึ่งออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ทางผู้บริหารอย่างอีลอน มัสก์ แทนที่จะมาใส่ใจถึงประเด็นความต้องการในตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่ลดน้อยลง กลับไปสนใจในประเด็นอื่นแทน รวมทั้งตัวอีลอน มัสก์ เองก็ได้มีการโพสต์ในสิ่งที่ทำลายชื่อเสียง และความเชื่อมั่นในตัวแบรนด์ Tesla ผ่านทาง X (Twitter) อีกด้วย
นอกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริษัท Tesla แล้ว ทาง BBC ยังระบุอีกว่า หลายบริษัทในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้านั้นก็ได้ทยอยกันลดขนาดตัวเอง เพื่อตอบรับกับสภาพความเป็นจริงของตลาดที่มีความต้องการลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ แต่ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังคงคาดการณ์ว่า “ปีนี้ความต้องการในตัวรถไฟฟ้าจะขยายตัวมากยิ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอย่างแน่นอน”
|