บริษัทแม่ของ Google อย่าง Alphabet ได้ออกมาประกาศว่าจะปรับให้ระบบ Google Play In-app Billing Service หรือบริการรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน (In-app Purchases) สำหรับแอปพลิเคชันที่เปิดให้สามารถดาวน์โหลดบน Google Play Store มีความเข้มงวดขึ้น
เพราะก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าทาง Google จะออกกฎว่าทุกๆ ยอดการใช้จ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ จะต้องหักเงินจำนวน 30% เข้าบริษัท เช่น การชำระเงินสมัครสมาชิกรายเดือนของ Spotify, Netflix หรือการซื้อไอเทมในเกม และการบริการต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Android จะแบ่งเงินให้ทางบริษัทผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน 70% และตัวกลางอย่าง Google จำนวน 30%
ซึ่งหลายๆ บริษัทก็เลี่ยงการเก็บค่าบริการเพิ่มเติมในส่วนนี้โดยการเพิ่มตัวเลือกให้ลูกค้าสามารถชำระเงินผ่านการตัดบัตรเครดิต หรือการชำระเงินผ่านเว็บไซต์เข้ามา เพื่อให้ทางบริษัทได้รับเงินเต็มจำนวนโดยที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นค่าบริการกับทางลูกค้า
แต่ล่าสุดทาง Google ก็ได้ออกกฎใหม่ว่า Developer ของแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ลงใน Google Play Store จะต้องทำการ แนะนำการชำระเงินผ่านบริการของ Google แทนการชำระเงินผ่านช่องทางอื่นๆ และจะบังคับใช้ในช่วงสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป (ส่วนแอปพลิเคชัน Android ที่ลงในร้านค้าแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Google Play Store นั้นก็ยังสามารถใช้การชำระเงินผ่านช่องทางเดิมได้)
ภาพจาก : https://9to5google.com/2018/08/02/google-play-in-app-purchase-ui/
อย่างไรก็ตาม บริการที่ว่านี้ก็ครอบคลุมเฉพาะแค่การชำระเงินสมัครบริการต่างๆ (Subscription), ซื้อไอเทมในเกม (Virtual Game Products), การใช้บริการ Cloud หรือการเข้าถึงบริการอื่นๆ ภายในแอปพลิเคชันเท่านั้น ไม่ได้รวมไปถึงการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าที่สามารถจับต้องได้ เช่น การสั่งอาหาร, บริการขนส่ง, การซื้อสินค้า และการจ่ายบิลแต่อย่างใด
|
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่.. |