นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเต่าน้ำจืดที่มีหน้าตาคล้ายหินชนิดที่ 2 ของโลก

ศาสตราจารย์ ดร. Uwe Fritz นักวิทยาศาสตร์ประจำพิพิธภัณฑ์สภานธรรมชาติวิทยา Senckenberg เมือง Dresden ประเทศเยอรมนี และลูกทีมได้ค้นพบ เต่าน้ำจืดสายพันธุ์มาตามาตา (Matamata) ชนิดใหม่ที่บริเวณแม่น้ำ Orinoco และแม่น้ำ Río Negro ในทวีปอเมริกาใต้

ซึ่งการค้นพบในครั้งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการค้นพบครั้งสำคัญ เพราะมันเป็นเต่าในสกุล (Genus) Chelus ชนิดที่สองของโลก (ชนิดแรกที่ค้นพบคือ Chelus Frimbriata ถูกค้นพบเมื่อราวช่วงปี 1783 บริเวณลุ่มแม่น้ำอเมซอน) ส่วนเต่ามาตามาตาที่เพิ่งค้นพบนี้ได้รับการตั้งชื่อว่า Chelus Orinocensis

ภาพจาก : https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S1055790320300956?via%3Dihub

“ก่อนหน้านี้เราคาดเดาว่ามันมีแค่เต่ามาตามาตาสายพันธุ์เดียวที่พบเห็นได้ทั่วไปในทวีปอเมริกาใต้” Fritz กล่าว

เหตุผลที่มีการสันนิษฐานเช่นนี้เป็นเพราะว่าเต่ามาตามาตาเป็นเต่าที่มีรูปร่างหน้าตา, ขนาด และสีสันที่มีความหลากหลาย จึงทำให้เกิดความสงสัยว่าเป็นเต่าชนิดใหม่หรือแค่เป็นเต่ามาตามาตาที่มีรูปร่างหน้าตาที่แปลกออกไปกันแน่ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้จึงได้ทำการ เก็บตัวอย่าง DNA ไปราว 75 ชุด เพื่อนำมาศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างของเต่าทั้งสองชนิดนี้

ซึ่งผลจากการตรวจเทียบ DNA ของเต่าทั้ง 2 ชนิดนี้ก็พบความแตกต่างกันอยู่หลายจุดจนสามารถสรุปได้ว่ามันเป็นเต่ามาตามาตาอีกชนิดหนึ่งนั่นเอง แต่ในด้าน พฤติกรรมและการดำรงชีวิต เต่ามาตามาตาทั้ง 2 ชนิดนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ เป็นเต่าน้ำจืดประเภทคอยาวที่ชอบซ่อนตัวอยู่ใต้ดินโคลน และมีลักษณะรูปร่างคล้ายก้อนหินที่ถูกตะใคร่น้ำเกาะตามลำตัว อีกทั้งยังมีพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมือนกับเต่าทั่วไป คือ กินสัตว์น้ำตัวเล็กๆ ที่ว่ายน้้ำผ่านมาด้วยการกลืนลงไปทั้งตัว และนอกจากนี้ยังกินสัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กอีกด้วย

ภาพจาก : https://phys.org/news/2020-04-species-turtle.html

นอกจากนี้ทางทีมนักวิทยาศาสตร์ยังทิ้งท้ายเอาไว้อีกว่าถึงแม้เต่ามาตามาตาชนิดใหม่นี้จะไม่ใช่สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์แต่ก็ควรได้รัการอนุรักษ์เอาไว้ และทางที่ดี ไม่ควรนำเอาพวกมันไปเลี้ยง เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านเหมือนกับเต่ามาตามาตาสายพันธุ์เดิม ควรปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด

“สัตว์ที่มีรูปร่างลักษณะที่โดดเด่นและแปลกตาจำนวนมากจบลงด้วยการเข้าตลาดมืดหรือกระบวนการค้าสัตว์ผิดกฎหมายเพื่อให้กลุ่มคนที่นิยมการเลี้ยงสัตว์แปลกซื้อพวกมันไปเลี้ยง และส่วนหนึ่งก็จบชีวิตลงเนื่องจากผู้เลี้ยงมีความรู้ไม่เพียงพอ เราควรจะปกป้องสัตว์เหล่านี้ก่อนที่มันจะสายเกินไป”