ในระยะหลัง ถึงแม้ผู้ใช้งานหลายรายจะมีความไม่พอใจทางไมโครซอฟท์มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งหลายครั้งเวลามีข้อผิดพลาดทางไมโครซอฟท์ก็มักจะตอบเลี่ยง ๆ หรือไม่ก็ปฏิเสธ และเลี่ยงที่จะตอบ แต่ในคราวนี้เหมือนว่าทางไมโครซอฟท์จะไม่ยอมรับไม่ได้เสียแล้ว
จากรายงานโดยเว็บไซต์ Neowin ได้กล่าวถึงการที่ทางไมโครซอฟท์ได้ออกมายอมรับถึงการที่มีฟีเจอร์ 2 ตัวที่ส่งผลทำให้เครื่องที่ใช้งาน Windows 10 และ Windows 11 เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์อย่างการทำงานที่ช้าลง ซึ่งฟีเจอร์ที่เป็นประเด็นอยู่นั้นแบ่งเป็นดังนี้
ทางไมโครซอฟท์ได้กล่าวว่า ทางทีมวิจัยพบว่าการเชื่อมต่อ หรือ ซิงค์ (Sync) ไฟล์บนเครื่องกับบน OneDrive ซึ่งถูกตั้งค่าไว้เป็นค่าเริ่มต้น (Default) เนื่องจากทางไมโครซอฟท์มองว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งที่สำคัญมากเนื่องจากจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงไฟล์จากเครื่องไหนก็ได้ กลับทำให้เครื่องทำงานช้าลง โดยปัญหานี้ส่งผลต่อผู้ใช้งานทั้ง Windows 10 และ 11 สามารถแก้ไขได้ด้วยการปิดการ Sync อัตโนมัติลง

ภาพจาก : https://softwareg.com.au/blogs/windows/onedrive-settings-windows-11
หรือการแสดงผลภาพแบบพิเศษ ที่ทางไมโครซอฟต์ชูเป็นจุดเด่นของ Windows 11 ว่าช่วยให้หน้าจอ และการแสดงผลของ Windows 11 นั้นสวยงาม แต่กลับสร้างความหน่วงให้เครื่องเป็นอย่างมากเนื่องจากกิน RAM อย่างหนักหน่วง ทางไมโครซอฟท์ได้กล่าวว่าผู้ใช้งานที่ไม่พอใจกับฟีเจอร์นี้สามารถปิดการใช้งานนี้เพียงแค่พิมพ์ว่า Performance แล้วเลือก ในส่วนของ Windows Search แล้วเลือก "Adjust the appearance and performance of Windows" เพื่อเข้าส่วนของการตั้งค่า โดยในจุดนี้ ให้ทำการเลือก "Adjust for best performance" เพื่อให้เครื่องมาเน้นการทำงาน ไม่เน้นสวยงามแทน จะลดอาการหน่วงของเครื่องลงได้
กระนั้นทางไมโครซอฟท์ยังได้ทำการตัดฟีเจอร์บางอย่างออกจาก Windows 11 ถึงแม้จะช่วยการทำงานที่ไวยิ่งขึ้น อย่างเช่น ReadyBoost ซึ่งเป็นการใช้งาน USB และ SD Card มาเป็นแคชแทน ทำให้คอมพิวเตอร์มีหน่วยความจำที่มากขึ้นกว่าที่มีติดตั้งไปอยู่ และเป็นหนึ่งในเทคนิคเพิ่มความเร็วให้กับคอมพิวเตอร์ที่เคยเป็นที่แนะนำ แต่ใช้งานไม่ได้แล้วในปัจจุบัน
คำสำคัญ »
|
|