AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ในรูปแบบระบบตอบกลับอัตโนมัติ (Chatbot) นั้นสร้างความสะดวกให้กับธุรกิจหลากหลายรูปแบบอย่างมาก แต่ในอีกมุมหนึ่งกลับสร้างผลร้ายอย่างชัดเจนเมื่อถูกนำมาใช้ในการปรึกษาชีวิต ซึ่งตัวบอทมักจะให้คำแนะนำผิด ๆ หรือยุยงส่งเสริมในสิ่งที่ไม่ควร นำมาสู่การควบคุมในครั้งนี้
จากรายงานโดยสำนักข่าว BBC ได้กล่าวถึงความเคลื่อนไหวล่าสุดจากบริษัท META เจ้าของโซเชียลมีเดียยอดนิยมอย่าง Facebook และ Instagram ได้ออกมาให้คำมั่นว่า จะปรับปรุงระบบ Chatbot AI ของตัวเองให้มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานวัยรุ่นมากยิ่งขึ้น ด้วยการ “บล็อก” ไม่ให้พูดคุยเกี่ยวกับประเด็นอันตรายสุ่มเสี่ยงอย่างเช่น การฆ่าตัวตาย, การทำร้ายตัวเอง และการสนับสนุนพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ กับกลุ่มผู้ใช้งานวัยรุ่นอย่างเด็ดขาด รวมทั้งทำการจำกัดการใช้งานกลับกลุ่มผู้ใช้งานระดับวัยรุ่นให้มีกรอบที่แข็งแรงยิ่งกว่าเดิม นอกจากนั้นทาง META ยังเผยอีกว่า จะเพิ่มฟีเจอร์ให้ผู้ปกครองสามารถย้อนดูว่าบุตรหรือผู้ในปกครองมีการพูดคุยประเด็นใดกับ Chatbot ได้อีกด้วย ซึ่งกลุ่มผู้ใช้งานวัยรุ่นนั้น ทาง META ได้ทำการจัดการผ่านระบบสมาชิกโซเชียลมีเดียด้วยการตีกรอบอายุผู้ใช้งานที่อยู่ระหว่างอายุ 13 - 18 ปี ให้เป็นบัญชีวัยรุ่น หรือ Teen Account ที่มีการจำกัดสิทธิ์การใช้งานหลายอย่าง โดยนโยบายบัญชีนี้จะครอบคลุมทั้ง Facebook, Instagram และแอปพลิเคชัน Messenger
ทว่า กลุ่มผู้ห่วงใยบางกลุ่ม อย่างเช่น คุณ Andy Burrows ประธานแห่งมูลนิธิ Molly Rose Foundation ได้ออกมาทำการตำหนิติเตียนทาง META แทนว่า แทนที่จะมาตามแก้ไขหลังจากที่ความเสียหายได้เกิดขึ้นไปแล้ว ทาง META ควรจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความปลอดภัยก่อนปล่อยผลิตภัณฑ์ให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้ใช้งาน นอกจากนั้นทาง META ควรมีการปฏิบัติการแก้ไขข้อผิดพลาดอย่างรวดเร็วเมื่อมีประเด็นด้านความปลอดภัยเกิดขึ้น และทางบริษัทควรถูกสอบสวนในทันที ถ้ามีความล่าช้าในการออกตัวปฏิบัติการ
ซึ่งก็สอดคล้องกับพฤติกรรมของทาง META ที่เกิดขึ้น เนื่องจากคำมั่นสัญญาในการบังคับใช้นโยบายใหม่นี้ เกิดขึ้นหลังจากที่วุฒิสมาชิกแห่งสภาคองเกรส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เปิดแคมเปญการสอบสวนทางบริษัท META หลังจากที่มีเอกสารหลุดเรื่องการทำงานของ AI ที่ทางบริษัท META พัฒนาออกมาว่า “ตัว AI อาจสามารถพูดคุยเรื่องทางเพศกับผู้ใช้งานวัยรุ่นได้” ในขณะที่ทาง META ได้ออกมาไล่ปฏิเสธกับสื่อต่าง ๆ ว่า เอกสารที่ทางสื่อได้รับนั้นเป็นเอกสารที่ผิดพลาด และไม่สอดคล้องกับนโยบายของทางบริษัทที่มีความเข้มงวดกับประเด็นเรื่องเพศเป็นอย่างมาก
นโยบายใหม่นี้จะมีการนำเอามาใช้อย่างได้ผลหรือไม่ ? หรือจะมีปัญหาซ้ำซากเกิดขึ้นมาอีกอย่างที่ทางหลายคนกังวล คงต้องติดตามกันต่อไป
|