ไมโครซอฟท์ อ้าง Windows 11 เร็วกว่า Windows 10 ถึง 2.3 เท่า แต่ถูกจับได้ว่าทดสอบบน CPU คนละรุ่นกัน

ข่าวเกี่ยวกับ Windows ที่เห็นได้บ่อยในปัจจุบันคงจะหนีไม่พ้นการที่ทางไมโครซอฟท์ ออกมารณรงค์, ขอร้อง ไปจนถึงขั้นข่มขู่แกมบังคับ ให้ผู้ใช้งานเปลี่ยนจาก Windows 10 ไปใช้ Windows 11 ด้วยสารพัดกลเม็ดที่หามาได้ บางอย่างนั้นก็ถูกจับได้โดยผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นการกระทำที่ไม่เข้าท่า เช่นข่าวนี้

จากรายงานโดยเว็บไซต์ Notebook Check ได้กล่าวถึงการที่ทางไมโครซอฟท์ได้ทำการโพสต์ผลการทดสอบเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการทำงานของ Windows 11 เทียบกับ Windows 10 ลงบนบล็อกอย่างเป็นทางการของทางบริษัท เพื่อเป็นการชักชวนให้ผู้ที่ยังไม่ได้ทำการอัปเกรดมาใช้งาน Windows 11 หันมาทำการอัปเกรด ซึ่งผลจากการทดสอบของทางไมโครซอฟท์ที่โพสต์ลงบนบล็อกนั้น มีการแสดงผลลัพธ์ว่า การทำงานของ Windows 11 นั้น มีประสิทธิภาพที่สูงกว่า Windows 10 กว่า 2.3 เท่า ซึ่งถ้ามองเผิน ๆ ก็อาจจะเห็นว่าผลการทดสอบนั้นเป็นปกติ รุ่นใหม่ย่อมดีกว่ารุ่นเก่า

ภาพจาก: https://www.notebookcheck.net/Microsoft-claims-Windows-11-is-up-to-2-3x-faster-than-Windows-10-but-benchmark-uses-different-gen-CPUs.1047130.0.html

ทว่า ผู้เชี่ยวชาญจากทาง PC Gamer กลับสามารถจับผิดการทดสอบครั้งนี้ได้ โดยระบุว่า การทดสอบของทางไมโครซอฟท์นั้นใช้งานชิป CPU รุ่นที่ต่างกันสำหรับ Windows ทั้ง 2 ตัว ถึงแม้จะใช้งานชิปจาก Intel เหมือนกัน แต่กลับมีข้อแตกต่างกันดังนี้

• Windows 10 ใช้ CPU รุ่น (Generation) 6th, 8th, และ 10th
• Windows 11 ใช้ CPU รุ่น 12th และ 13th

ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การกระทำดังกล่าวของทางไมโครซอฟท์นั้น เป็นความพยายามในการสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนให้กับผู้อ่าน โดย CPU บางรุ่นที่ใช้ทดสอบ Windows 10 นั้นเก่ากว่าที่ใช้ทดสอบ Windows 11 ถึง 10 ปี พร้อมทั้งกล่าวว่า การทดสอบที่ยุติธรรมจริง ๆ นั้นจะต้องทดสอบบนระบบที่มีองค์ประกอบเหมือนกันทุกประการ แต่ผลของการทดสอบหลายครั้งในรูปแบบที่มีความยุติธรรมดังกล่าวนั้นกลับแสดงผลว่า Windows ทั้ง 2 ตัวมีประสิทธิภาพในการทำงานที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยจนไม่มีนัยสำคัญจนสามารถนำมาอวดอ้างได้

นอกจากนั้น แหล่งข่าวยังได้วิจารณ์ของการกระทำของไมโครซอฟท์อีกว่า ทางบริษัทนั้นเล่นไม่ซื่อจากการพยายามใช้ผลทดสอบดังกล่าวมาใช้ชักชวนให้ผู้ใช้งานเปลี่ยนมาใช้งาน Windows 11 ขณะที่กลุ่มเกมเมอร์จำนวนมากนั้นเลือกที่จะไม่เปลี่ยนเนื่องจากมีความรู้ว่า Windows 11 ไม่ได้ดีมากระดับปฏิวัติวงการอย่างที่อวดอ้าง ทั้งยังมีฟีเจอร์ที่ค่อนข้างรก (Bloated) ที่ไม่ได้นำพาในการเพิ่มประสิทธิภาพของความไวในการแสดงผล (Frame Rate) อีกด้วย