เทคโนโลยี Deepfake ถือเป็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการปลอมแปลงที่น่ากลัวที่สุดในปัจจุบัน เพราะสามารถแปลงเนื้อหาได้ตั้งแต่ ข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอ หรือแม้แต่การตัดต่อใบหน้าคนใส่ลงไปวิดีโอให้ทำท่าทางเหมือนบุคคลที่อยู่ในวิดีโอต้นฉบับได้อย่างแนบเนียน
ความน่ากลัวของมันเคยประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการนำหน้าคนดังไปตัดต่อใส่ในคลิปวิดีโอโป๊ หรือแม้แต่อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา อย่างบารัค โอบามา (Barack Obama) ก็เคยถูกมือตีตัดต่อใส่ Deepfake มาแล้ว ซึ่งยังโชคดีที่เป็นการทำเล่นขำๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายใดๆ
คลิป Deepfakes ที่ตัดต่อให้ บารัค โอบามา พูดตามเจ้าของเสียงต้นฉบับ
จากความน่ากลัวเหล่านี้ ทำให้เป็นที่ถกเถียงกันว่า เทคโนโลยี Deepfake ควรมีอยู่หรือไม่ และจะสามารถแยกแยะ หรือตรวจสอบได้อย่างไรว่าอันไหนเป็นของจริง หรือของปลอมถ้าเกิดมันเนียนจนเกินไป
ซึ่งก่อนหน้านี้ Facebook ได้มีการพัฒนา AI ระบบตรวจจับอัตโนมัติตัวหนึ่งขึ้นมา โดยได้สอนให้มันจดจำอัลกอริทึม หรือลักษณะของวิดีโอที่ถูกควบคุมโดย AI หรือใช้เพื่อตรวจจับวิดีโอที่เป็น Deepfakes บนโซเชียลมีเดียทั้งหลายนั่นเอง
ภาพจาก https://www.theverge.com/21289164/facebook-deepfake-detection-challenge-unsolved-problem-ai
ซึ่งความสามารถของ AI ตัวนี้ก็ได้ถูกนำมาทดสอบแล้วภายใต้โปรเจกต์ 'Deepfake Detection Challenge' ที่ Facebook ได้ทำการจ้างนักแสดงจำนวน 3,426 รายให้อัดคลิปวิดีโอสั้นๆ พูด หรือสนทนากับตัวเองในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ก่อนจะนำวิดีโอบางส่วนมาดัดแปลงด้วยเทคโนโลยี Deepfakes สลับใบหน้าคนอื่นๆ เข้าไปทำให้มีวิดีโอที่เป็นทั้งของจริง และ วิดีโอแบบ Deepfake รวมกันราวๆ 100,000 คลิปสั้นๆ จากนั้นนำมาให้ AI ตัวนี้ใช้ทดสอบความสามารถ แยกแยะความจริง และความเป็น Deepfake
ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมา Facebook ระบุว่า AI สามารถวิเคราะห์ได้ถูกต้องแม่นยำถึง 65.18 เปอร์เซ็นต์ นั่นแสดงให้เห็นว่าระบบยังมีความสับสนอยู่ประมาณอีก 35 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ และความท้าทายหลังจากนี้จะเป็นบททดสอบของนักวิจัย
ภาพจาก https://techcrunch.com/2020/06/12/facebooks-deepfake-detection-challenge-yields-promising-early-results/
Facebook ประกาศในวันนี้ว่า การทดสอบดังกล่าวได้ให้ผลลัพธ์ที่ไม่เลว แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ในตอนแรก ซึ่งนักวิจัยของ Facebook ต่างลงความเห็นกันว่าการพัฒนาให้ AI ที่สามารถเจาะลึกเข้าไปถึงตัวตนของบุคคลในคลิป Deepfake ได้อย่างแม่นยำ "ยังคงเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก" และการพัฒนาจะต้องยังมีต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเป้าหมายในครั้งหน้าจะสำเร็จบรรลุผล และสามารถช่วยให้ ตรวจสอบได้อย่างแม่นยำมากกว่า 82.56 เปอร์เซ็นต์
เราพอใจกับผลลัพธ์ที่ออกมา และความท้าทายหลังจากนี้จะสร้างมาตรฐานสำหรับนักวิจัย และเป็นแนวทางในการทำงานในอนาคต
- Mike Schroepfer หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของ Facebook กล่าวเอาไว้
เทคโนโลยี Deepfake ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นสิ่งที่อันตรายเกินไป สำหรับยุคแห่งสังคมโซเชียลมีเดีย ไม่เพียงแต่อาจจะถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง แต่บางครั้งยังอาจใช้เพื่อการปลอมแปลงและใส่ร้ายให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย หรือใช้เป็นเครื่องมือที่โจรใช้หลบเลี่ยงการทำงานของตำรวจได้อีกด้วย
ถ้าเทคโนโลยี AI ตรวจจับ Deepfake ของ Facebook สามารถช่วยตรวจสอบได้อย่างแม่นยำเต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์ ถึงแม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าสำเร็จก็สามารถช่วยลดปัญหาของเทคโนโลยี Deepfake ได้ในอนาคต และเราทุกคนก็จะปลอดภัยจากผู้ประสงค์ร้ายบนโลกโซเชียล
|
งานเขียนคืออาหาร ปลายปากกา ก็คือปลายตะหลิว |