ย้อนความกลับไป หลังจากปีที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกามีการคุมเข้มเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคมของจีน รวมถึงเทคโนโลยี 5G ของ Huawei โดยอ้างว่าเป็นภัยความมั่นคงของประเทศ เพราะ Huawei มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลจีนมากเกินไป และอาจรวบรวมข้อมูลผู้ใช้ส่งให้รัฐบาลของจีนก็เป็นได้
ซึ่งคำกล่าวหาและการสั่งแบนครั้งนั้น ส่งผลกระทบโดยตรงกับ Huawei และ ZTE บริษัทโทรคมนาคมอีกเจ้าของจีนด้วย และทำให้ผู้ผลิตของสหรัฐ เริ่มตัดขาดความสัมพันธ์กับจีนโดยเฉพาะ Google จนเราได้เห็นทั้ง 2 ฝ่ายตอบโต้กันไปกันมาอย่างรุนแรง เป็นสงครามยุคเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง ซึ่งช่วงต้นปีนี้ก็เหมือนจะเริ่มเงียบและต่างฝ่าย ต่างอยู่กันไปแล้ว
แต่ล่าสุดดูเหมือนว่ายังไม่จบแค่นี้ เมื่อ Wilbur Ross รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา ได้แถลงการณ์ว่า ถึงแม้จะมีการแบน Huawei ไปแล้ว แต่ยังพบว่า Huawei ยังใช้เทคโนโลยีของสหรัฐฯ อยู่อย่างเช่น "Semiconductor" ซึ่งถูกคิดค้นโดยบริษัทสัญชาติอเมริกัน ที่ส่งมอบให้บริษัท HiSilicon ซึ่งผลิตชิป Kirin ให้ Huawei นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ทางกระทรวงจึงได้เพิ่มกฎคุมเข้ม ไม่ให้บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกันทำการค้าชิป หรือส่งวัสดุ ให้ Huawei โดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลก่อน ซึ่งกฎข้อนี้มีผลบังคับใช้ทันที เมื่อวันที่ 15 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งจะให้โอกาสบริษัทต่างๆ สามารถดำเนินการค้าขายได้ภายใน 120 วันต่อจากนี้
ภาพจาก https://madshoppe.in/news/huawei-has-been-totally-cut-off-from-american-technology/
ในขณะที่จีนก็ได้ออกมาตอบโต้การกระทำของสหรัฐฯ เตรียมประกาศเพิ่มชื่อบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกันบางเจ้าให้อยู่ในรายชื่อองค์กรที่อาจเป็นภัยต่อธุรกิจและบริษัทอื่นในประเทศจีน โดยสื่อต่างๆ คาดการณ์ว่าจีนจะมุ่งเป้าไปที่ Apple, Cisco, Boeing และ Qualcomm ซึ่งบริษัทเหล่านี้ล้วนต้องพึ่งพาจีนในเรื่องของ Supplier เช่นกัน ขณะที่สื่อในจีนมีการรายงานด้วยว่า ทาง Huawei ได้เตรียมแผนรับมือกับเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว โดยได้มีการกักตุนชิปเซ็ตไว้ล่วงหน้าถึง 1 ปีเต็ม พร้อมกับกล่าวประณามสหรัฐว่า ไล่บี้และกดดันทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองครอบครองความเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยี
ตอนนี้ดูเหมือนประกายไฟแห่งสงครามกำลังลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ใครที่เป็นสาวกของฝั่งไหน ก็ติดตามกันต่อไปว่าจุดจบของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าอาจส่งผลกระทบใหญ่ต่อประเทศอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
|
งานเขียนคืออาหาร ปลายปากกา ก็คือปลายตะหลิว |