ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ตัวเลขของผู้ติดเชื้อ COVID-19 นอกประเทศจีนได้พุ่งสูงกว่า 13 เท่า และตัวเลขของประเทศที่มีการแพร่ระบาดก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ โดย ณ ตอนนี้เชื้อ COVID-19 ได้มีการแพร่ระบาดไปกว่า 114 ประเทศทั่วโลก, มียอดผู้ติดเชื้อกว่าแสนคน และมีผู้เสียชีวิตกว่า 4,000 คนทั่วโลกแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดการระบาดได้โดยง่าย คาดว่าในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้จำนวน ยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตน่าจะเพิ่มสูงขึ้นอีกเรื่อยๆ
ซึ่งจากความรุนแรงของสถานการณ์ ณ ขณะนี้ทำให้ทางองค์การอนามัยโลก หรือ WHO (World Health Organization) ได้ออกมาประกาศเพิ่ม ระดับความรุนแรงเป็นระดับสูงสุด ที่มีการแพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว และถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสมีความรุนแรงระดับโลกเลยทีเดียว
โดยครั้งล่าสุดที่ทาง WHO ได้ประกาศเฝ้าระวังความรุนแรงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในระดับนี้ ได้แก่เมื่อปี 2009 ที่มีการระบาดของ Swine Flu H1N1 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009” ที่พบผู้ติดเชื้อราว 214 ประเทศ และมียอดผู้เสียชีวิตกว่า 18,000 คนทั่วโลก
Dr. Tedros Adhanom Ghebreyesus ประธานของ WHO ได้ออกมากล่าวถึงการปรับระดับความรุนแรงของสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ไว้ว่า
ทาง WHO ได้จับตามองตั้งแต่เคสแรกที่มีการตรวจพบเชื้อไวรัสชนิดนี้ และเราได้แจ้งกับทุกประเทศทั่วโลกให้เตรียมการรับมือและร่วมกันช่วยเหลือประเทศอื่นๆ ในการรับมือกับสถานการณ์ครั้งนี้อย่างเข้มงวด ทั้งนี้ เราได้ทำการปรับระดับความรุนแรงของสถานการณ์ดังกล่าวนี้ใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และการออกมาประกาศในครั้งนี้ไม่ได้เปลี่ยนวิธีการตรวจและทดสอบหาเชื้อโรค, หรือวิธีการทำงานของเรา (WHO) และมันก็ไม่ได้เปลี่ยนสิ่งที่ทุกประเทศควรที่จะทำด้วยเช่นกัน เพราะพวกเรายังคงจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือดูแล และร่วมมือกันทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างมีสติเพื่อช่วยปกป้องประชากรโลกอย่างสุดความสามารถ นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลต่างๆ ก็ควรที่จะเตรียมการป้องกันและฝึกฝนอบรมบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่รุนแรงในครั้งนี้ เราควรที่จะต้องตรวจหา, คัดแยก, ทดสอบ, ทำการรักษา และตามหาบุคคลที่ผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์ด้วยเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
นอกจากนี้ ทาง WHO ยังได้เน้นย้ำให้มีการ เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งกำชับให้ทุกประเทศทั่วโลกควรร่วมกันในการหาจุดสมดุลในการดูแลสุขภาพของประชากรในประเทศไปพร้อมๆ กับเศรษฐกิจ, สังคม และสิทธิมนุษยชนร่วมด้วย
|
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่.. |