อนาคตของการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟนจะดีขึ้นด้วย AI ไม่ใช่เลนส์หรือเซ็นเซอร์

หากคุณอยากจะรู้ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นถัดไปที่กำลังจะเปิดตัวจะถ่ายภาพได้ดีขนาดไหน ทางที่ดีที่สุด คือ จับตาดูว่าผู้ผลิตให้ความสนใจกับเทคโนโลยี AI มากขนาดไหน เพราะตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ การนำซอฟต์แวร์มาช่วยในการถ่ายภาพนั้นเติบโตอย่างก้าวกระโดด และยังไม่มีเหตุผลที่มันจะหยุดลงเลยแม้แต่นิดเดียว

มันมีซอฟต์แวร์มากมายที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟน แต่ในช่วงนี้ไม่มีอะไรจะโดดเด่นไปกว่าการนำเทคโนโลยี AI มาใช้อีกแล้ว ด้วยความสามารถอันชาญฉลาดทำให้ภาพที่ใช้ AI ช่วยประมวลผล มีผลลัพธ์ที่ดีง่ายกว่าการพัฒนาเลนส์ และเซ็นเซอร์เสียอีก

Google Photos เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับใช้ในการแสดงพลังของ AI ร่วมกับการถ่ายภาพ ย้อนไปในปี 2015 ที่แอปได้เปิดตัว Google ได้ใช้เทคโนโลยี Machine learning ในการแยกหมวดของรูปภาพให้ผู้ใช้อัตโนมัติ มันเรียนรู้ได้ว่าบุคคลในภาพคือใคร จนปัจจุบันแม้แต่น้องหมา น้องแมว มันก็แยกได้

แม้ว่าจะฟังดูง่ายๆ แต่กว่าจะทำได้ถึงขั้นนี้ Google ก็เสียเวลากับการค้นคว้ามาหลายปีนะครับ เพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างระบบตรรกะให้มีความแม่นยำได้ขนาดนี้ ลองนึกภาพสิ สมมติมีสัตว์ชนิดหนึ่งมีขนสีขาว กับขนสีดำ AI จะต้องประมวลผลว่า เฮ้ย นี่มันแพนด้าหรือวัวกันแน่นะ (ภายหลัง Apple ก็พัฒนา Photo search คุณสมบัติที่คล้ายกันขึ้นมา แต่แตกต่างตรงที่เป็นการประมวลผลภายในเครื่องเท่านั้น เพื่อความเป็นส่วนตัวของข้อมูล)

หลังจากที่ AI เข้ามามีบทบาทในการจัดการกับรูปภาพแล้ว AI และ Machine learning ก็ได้ขยับตัวมามีบทบาทในการ "ถ่ายภาพ" มันส่งผลกระทบต่อการถ่ายภาพค่อนข้างสูงมากทีเดียว ทุกวันนี้ตัวเลนส์ และเซ็นเซอร์ของกล้องบนสมาร์ทโฟนมีการพัฒนาให้จับภาพดีขึ้น และเซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้น (ทีละนิด) แต่ว่ามันมีข้อจำกัดด้านฟิสิกส์อยู่ เพราะสมาร์ทโฟนมีพื้นที่ภายในที่จำกัด เราคงไม่อยากถือสมาร์ทโฟนเครื่องหนาเตอะแบบในอดีตกันหรอกจริงไหม ดังนั้นช่องว่างที่ยังเหลือให้พัฒนาต่อได้ในปัจจุบันนี้ก็คือ การประมวลผลภาพด้วยชิปในขณะที่ภาพกำลัง "ถูกบันทึก" ด้วยพลังจาก CPU, NPU และ Image Signal processor

เวลาเรากดถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟน สิ่งที่หลายคนยังไม่รู้ คือ จริงๆ แล้วมันมีการถ่ายภาพจำนวนมากภายในเสี้ยววินาที และมีการปรับแต่งรูปภาพเกิดขึ้นอยู่เบื้องหลังจำนวนหลายล้านครั้งภายในเสี้ยววินาที ก่อนจะรวมภาพทั้งหมดออกมาเป็นภาพเดียวที่ดีที่สุด ซึ่งงานตรงนี้แหละที่ AI เข้ามามีบทบาทในการปรับค่าของภาพให้ออกมาสวยเนียน สมจริง

อีกตัวอย่างการใช้เทคโนโลยี AI ก็คือ การถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอบนสมาร์ทโฟน AI สามารถจำแนกได้ว่าตรงไหน คือ ส่วนที่เราต้องการให้ภาพชัด และส่วนไหนที่ควรเบลอ จะเห็นได้ว่าการเบลอภาพของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จะทำได้เนียนกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นก่อน นั่นก็เป็นผลมาจากซอฟต์แวร์ที่ฉลาดมากขึ้นนั่นเอง

เมื่อปลายปีที่แล้ว Google ได้เปิดตัวเทคโนโลยีด้านการถ่ายภาพที่มีชื่อว่า Night Sight ให้กับสมาร์ทโฟนตระกูล Pexel ที่ตนเองเป็นผู้ควบคุมการผลิต คุณสมบัตินี้ใช้สำหรับการถ่ายภาพในเวลากลางคืนโดยอาศัย AI ในการประมวลผลภาพ ซึ่งต้องบอกเลยว่า ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาน่าทึ่งมากๆ 

และอีกเรื่องที่น่าสนใจ คือ Google ปล่อย Night Sight ให้กับ Pixel รุ่นเก่าๆ ด้วย เนื่องจากเป็นเรื่องของซอฟต์แวร์ การทำงานของมันจึงไม่ได้พึ่งฮาร์ดแวร์กล้องมากนัก 

ลองดูตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด Night Sight จากด้านล่างนี้ดูสักเล็กน้อยครับ (คลิกที่ภาพเพื่อขยาย) ภาพซ้ายคือถ่ายแบบธรรมดา ส่วนภาพขวาถ่ายด้วยโหมด Night Sight 

ที่มาภาพ https://www.androidcentral.com/google-pixel-3-night-sight-experience

ในอนาคต แม้ ISP (Image Signal Processors) จะยังพัฒนา และทำให้ผลลัพธ์ในการถ่ายภาพดีขึ้นกว่าปัจจุบัน แต่เชื่อว่าชิป NPU ที่ประมวลผลด้าน AI ก็จะมีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน ต่อการยกระดับคุณภาพของภาพถ่าย