มีข่าวบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกปลดพนักงานกันเป็นว่าเล่น ทั้งทวิตเตอร์ (Twitter), เมต้า (Meta), อเมซอน (Amazon) และอีกหลายแห่ง ทำให้จำนวนของพนักงานที่ถูกปลด (Layoff) ออกจากงานในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) นี้ สูงที่สุดในรอบปี
โดยเว็บไซต์ trueup.io ได้มีหน้าติดตามการปลดพนักงานจากบริษัททั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ระดับยูนิคอร์น รวมไปถึงสตาร์ทอัประดับท็อป โชว์ให้เห็นว่า พนักงานในเดือนพฤศจิกายนนี้ ถูกปลดไปแล้วกว่า 51,683 คนเลยทีเดียว (ข้อมูลเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565))
ภาพจาก : https://www.trueup.io/layoffs
อย่างไรก็ตามยอดกว่า 5 หมื่นคนนี้ ส่วนใหญ่มาจาก 3 บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Twitter, Meta และ Amazon โดยทาง Meta (หรือ Facebook เดิม) ปลดพนักงานไปกว่า 11,000 คน ในวันที่ 9 พ.ย. ส่วน Amazon ปลดพนักงานไป 10,000 คน ในวันที่ 15 พ.ย. ส่วน Twitter แบ่งเป็น 2 รอบ โดยปลดพนักงานไป 3,750 คน เมื่อวันที่ 4 พ.ย. และอีก 4,400 คนในวันที่ 13 พ.ย. โดยแค่ 3 บริษัทฯ ยอดก็แทบจะเท่ากับยอดสูงสุดในเดือนที่ผ่าน ๆ มา อย่างเดือนมิถุนายนแล้ว
ซึ่ง 1 ในผู้เติมยอดในเดือนมิถุนายน ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน Elon Musk ประธาน เทสลาร์ มอเตอร์ (Tesla) ผู้เข้าซื้อกิจการ Twitter และปลดพนักงานลอตใหญ่นั่นเอง เขาปลดพนักงาน Tesla ไปกว่า 3,500 คน ในวันที่ 21 มิ.ย.
หลักจากทำข้อตกลงเข้าซื้อบริษัทฯ สำเร็จ Elon Musk เศรษฐีนักธุรกิจระดับโลก ไม่รอช้า ปลดพนักงานทวิตเตอร์กว่าครึ่งองค์กรออก ภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งจากคำบอกเล่าของอดีตพนักงาน การปลดพนักงานนี้รวมไปถึงเหล่าหัวกะทิขององค์กรในหลาย ๆ แผนก รวมไปถึงทีมวิศรกรหลัก และรองประธานกับกลุ่มผู้บริหารบางส่วนอีกด้วย
Musk ได้ทวีตให้เหตุผลในการปลดพนักงานว่า "Regarding Twitter's reduction in force, unfortunately there is no choice when the company is losing over $4M/day" แปลสั้น ๆ ว่า "เขาไม่มีทางเลือก ในขณะที่องค์กรกำลังเสียเงินกว่า 4 ล้านดอลลาร์ต่อวัน" ซึ่งข้อความทวีตนี้ ถูกลบออกไปแล้ว
ยังมีข้อมูลอีกว่า พนักงานสัญญาจ้างที่ถูกปลดในรอบหลังกว่า 4,400 - 5,000 คนนั้น ไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าด้วย รู้ตัวอีกทีก็คือไม่สามารถเข้าถึงอีเมลและระบบสื่อสารของบริษัทฯ ได้แล้ว
จริง ๆ แล้วทางทวิตเตอร์ ก่อนที่ Musk จะเข้าซื้อกิจการสำเร็จก็มีสัญญาณของการปลดพนักงานอยู่ก่อนแล้ว โดยในเดือนกรกฎาคม บริษัทฯ เริ่มหยุดจ้างงานและปลดพนักงานฝ่ายจัดหางานออกไป 1 ใน 3
ข่าวลือของ Mark Zuckerberg ที่วางแผนจะลดจำนวนพนักงานของบริษัทฯ เป็นจำนวนมาก กลับกลายเป็นจริง หลักจากนั้น 3 วัน ทาง Meta ก็ประกาศที่จะปลดพนักงานกว่า 11,000 คนที่กระทบทั้ง Facebook, Instagram และ WhatsApp ถึงแม้ว่าจะเป็นจำนวนที่มากที่สุด แต่นับเป็นจำนวนพนักงานของ Meta เพียง 13% เท่านั้น
แถลงการของ Mark กล่าวว่า บริษัทพยายามลดต้นทุนทั้งธุรกิจแล้ว รวมไปถึงการปรับลดงบประมาณ ลดผลประโยชน์ ลดขนาดพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ และปรับโครงสร้างทีมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
โดยข่าวการปลดพนักงานนี้มีขึ้นหลังจากที่ Facebook และ Instagram ทำให้มูลค่าตลาดของ Meta หายไปกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ และราคาหุ้นลดลงเหลือน้อยกว่า 1 ใน 3 ของช่วงต้นปี
อีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ที่ปลดพนักงานอย่างยิ่งใหญ่กว่า 10,000 คน แต่กลับเป็นเศษเสี้ยวของพนักงานที่มีมากกว่า 1.5 ล้านคน ซึ่งถึงแม้จะไม่มีแถลงการใด ๆ จากทาง Amazon แต่ก็มีสัญญาณมาจาก Amazon Web Services (AWS) ที่ทำกำไรได้มากที่สุด แต่มีการเติบโตที่ชะลอตัวมาตั้งแต่ต้นปีงบประมาณนี้
ในช่วงไตรมาสที่ 3 ผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง Brian Olsavsky เคยระบุไว้ว่า จากภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ลดลง ทำให้การใช้จ่ายของลูกค้า Amazon ลดลงไปด้วย
และเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ส่งข้อความหาพนักงานทุกคน ว่ามีการหยุดจ้างงานทุกตำแหน่งในบริษัทฯ
มีอีกหลายบริษัทฯ ที่ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน อย่าง Microsoft, Salesforce, Stripe หรือ Twilio ก็ปลดพนักงานกันร่วม 1,000 คนเหมือนกัน ซึ่งมาจากผลกระทบจากความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอการเติมโตลง สถานการณ์ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น สงครามในยูเครน ต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูง ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน การลดลงของยอดขายเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว ทำให้บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งตอบสนองต่อความกลัวว่าเศรษฐกิจจะถดถอยโดยการหยุดจ้างงาน และลดต้นทุนการดำเนินงาน
มีการคาดการณ์ที่สวนทางกันในด้านของการใช้จ่ายด้านไอทีของทางฝั่งองค์กร ในการใช้เทคโนโลยีต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย โดยใช้จ่ายไปกับโครงสร้างระบบคลาวด์ และ แอปพลิเคชัน SaaS แต่ก็ยังไม่เป็นข่าวดีที่เพียงพอสำหรับบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่
อย่างไรก็ตาม จากจำนวนการเลิกจ้างที่สูงขนาดนี้ ในอนาคตอันใกล้ก็น่าหวั่นใจอยู่ไม่น้อยเลย เพราะตัวเลขไม่ว่าจะมากหรือน้อยกว่าเดิมก็เป็นตัวเลขที่สูงอยู่ดี และสถานการณ์ก็ยังดูไม่ค่อยดีนัก
|
... |