จบไปแล้วกับงาน Galaxy Unpacked เมื่อคืนวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยภายในงานครั้งนี้ก็ได้มีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามที่มี ข่าวลือ หลุดออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น Galaxy Z Fold 3, Galaxy Z Flip 2, Galaxy Buds 2 และ Galaxy Watch 4 พร้อมเปิดให้จับจองกับในเว็บไซต์ของ Samsung แล้วก่อนวางจำหน่ายจริงวันที่ 27 สิงหาคมนี้
เปิดงานกันด้วย Galaxy Watch 4 ที่มาพร้อมกับ Wear OS power by Samsung หรือ ระบบปฏิบัติการของ Smartwatch ที่ทาง Samsung ร่วมกันพัฒนากับ Google ซึ่งนอกจาก Galaxy Watch 4 จะเป็น Smartwatch ตัวแรกที่เปิดตัวมาพร้อมระบบปฏิบัติการใหม่แล้ว มันยังมาพร้อมกับความสามารถที่น่าสนใจ ทั้งการตรวจจับระดับออกซิเจนในเลือดระหว่างการนอนหลับ (Sleep Analysis), การวัดความดัน (Blood Pressure), วัดค่าคลื่นหัวใจ ECG (Electrocardiogram), เซนเซอร์ BIA (Bioelectrical Impedance Analysis) ที่สามารถตรวจวัดองค์ประกอบต่าง ๆ ของร่างกายได้ทั้งการวัดมวลกล้ามเนื้อ / ไขมัน และผู้ใช้ยังสามารถตั้งค่า Gesture Control หรือการสั่งงานผ่านการขยับข้อมือได้อย่างอิสระ โดยทาง Samsung ได้ปล่อยออกมาถึง 2 รุ่นย่อยด้วยกัน ได้แก่
Samsung Galaxy Watch 4 ที่ขึ้นตัวเรือนด้วย Armor Aluminum และมีสายให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ส่วนขนาดหน้าปัดก็มีทั้ง 40 mm. (ตัวเรือนสีดำ, เงิน และพิงก์โกลด์) และขนาด 44 mm. (ตัวเรือนสีดำ, เงิน และเขียว) ในราคาเริ่มต้นที่ 249 ดอลลาร์สหรัฐ (8,990 บาท)
ภาพจาก : https://www.samsung.com/th/watches/galaxy-watch/galaxy-watch4-black-bluetooth-sm-r870nzkaasa/
และ Samsung Galaxy Watch 4 Classic ที่ขึ้นตัวเรือนด้วยสแตนเลสและกรอบหน้าปัดแบบหมุนได้ ในส่วนของหน้าปัดก็มีทั้งขนาด 42 mm. และ 46 mm. โดยในรุ่น Classic จะมีตัวเลือกหน้าปัดแค่สีดำและสีเงินเท่านั้น สำหรับราคาก็จะเริ่มต้นที่ 349 ดอลลาร์สหรัฐ (11,900 บาท)
ภาพจาพ : https://www.samsung.com/th/watches/galaxy-watch/galaxy-watch4-classic-black-bluetooth-sm-r880nzkaasa/
ถัดมาเป็น Galaxy Z Fold 3 สมาร์ทโฟนพับได้ที่มีข่าวลือออกมาอย่างหนาหูว่ามันจะมาพร้อมกับเทคโนโลยีการ ซ่อนกล้องใต้จอ (Under Display Camera) ก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด เพราะเมื่อกางหน้าจอออกมาและไม่ได้ใช้งานกล้องแล้ว มันจะดูกลมกลืนไปกับขอบจอและแทบมองไม่เห็นตัวกล้องที่แฝงอยู่ใต้จอเลยทีเดียว (กล้องหน้าความละเอียด 4 ล้านพิกเซล) โดยหน้าจอเมื่อกางออกนั้นมีขนาดกว้างถึง 7.6 นิ้ว (6.2 นิ้วเมื่อพับครึ่ง) ส่วนกล้องหลังทั้ง 3 ตัวก็ประกอบไปด้วยกล้อง Tele, Wide และ Ultra Wide ที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้าอีกตัวจะมีความละเอียดอยู่ที่ 10 ล้านพิกเซล
และทาง Samsung ยังบอกอีกว่าได้ใช้งานเทคโนโลยีการแสดงผลจอภาพแบบ Eco2 ที่ช่วยให้มีการแสดงผลสีสันได้สดใสและชัดเจนขึ้นกว่า 29% ทั้งยังเพิ่มความแข็งแรงของกระจกหน้าจอ, วัสดุตัวเครื่อง และความทนทานของจอพับเพิ่มขึ้นถึง 80% ไม่เพียงเท่านั้น Galaxy Z Fold 3 ยังสามารถกันน้ำได้ถึงระดับ IPX8 เลยทีเดียว
ส่วนด้านเสียงก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันด้วยลำโพงแบบสเตอริโอถึง 2 ฝั่ง ทำให้เสียงมีมิติมากขึ้น และผู้ใช้ยังสามารถใช้งาน Galaxy Z Fold 3 แบบ Multifuction ได้อย่างลื่นไหล ด้วยการแยกจอซ้าย - ขวาในการแสดงผลแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน และสามารถสร้าง Taskbar เพื่อปักหมุดแอปพลิเคชันที่ใช้งานบ่อยได้ ช่วยให้การจัดการงานเป็นไปได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
อีกสิ่งที่ไม่พูดถึงไปไม่ได้เลยนั่นก็คือความสามารถในการ ใช้งานร่วมกับ S Pen ที่ทาง Samsung คุยโวออกมาตั้งแต่มีข่าวลือแรก ๆ โดยนอกจากมันจะสามารถใช้งานร่วมกับ S Pen ได้อย่างลื่นไหลมากกว่าเดิมถึง 40% แล้ว มันยังมาพร้อมหัวปากกายางที่ช่วยถนอมหน้าจอไม่ให้เป็นรอยง่ายและมีสปริงภายในที่รับแรงกดปากกาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ตัวเครื่องเพียงแค่ “รองรับ” การใช้งานร่วมกับ S Pen เท่านั้น ไม่ได้มี S Pen แถมมาด้วยเหมือน Galaxy Note (เอาเป็นว่าใครอยากใช้ก็ไปซื้อเพิ่มเองแล้วกัน..)
ภาพจาก : https://technewsboy.com/samsung-galaxy-z-fold-3-should-you-get-s-pen-fold-edition-or-s-pen-pro/
ส่วนราคาก็เริ่มต้นที่ 1,799 ดอลลาร์สหรัฐ (57,900 บาท) พร้อมเปิดให้จองได้แล้ววันนี้ในเว็บไซต์ของ Samsung ทั้ง 3 เฉดสี ได้แก่ สีดำ, สีเขียว และสีเงิน
สำหรับ Galaxy Z Flip 3 ก็มีความแข็งแรงของตัวเครื่อง, หน้าจอ และความสามารถในการกันน้ำเทียบเท่า Galaxy Z Fold 3 ด้วย และสิ่งที่ผู้ใช้น่าจะสังเกตุเห็นกันอย่างชัดเจนได้แก่ด้านหน้าฝาพับของตัวเครื่องที่มีหน้าจอขนาดเล็กเพิ่มขึ้นมา โดยจอนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งาน Widget ของแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ตามต้องการ และยังสามารถใช้งานร่วมกับ Bixby (AI ของ Samsung) ได้รวดเร็วกว่าเดิมถึง 35%
ภาพจาก : https://www.samsung.com/th/smartphones/galaxy-z-flip3-5g/buy/
ซึ่งกล้องหลัง 2 ตัวก็มีความละเอียดสูงถึง 12 ล้านพิกเซล (เลนส์ Wide และ Ultra Wide) ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมความสามารถในการพรีวิวรูป / วิดีโอก่อนการถ่ายจริงที่จอขนาดเล็กด้านหน้า และมี Flex Mode ที่ช่วยปรับใช้งานการสลับกล้องได้อย่างลื่นไหล รวมทั้งผู้ใช้ยังสามารถสั่งการใช้งานกล้องได้ทั้งการสั่งงานด้วยเสียง, ท่าทาง และการใช้งานร่วมกับ Galaxy Watch
Galaxy Z Flip 3 ยังมาพร้อมกับความสามารถที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ Hand Free Mode ที่ผู้ใช้สามารถพับสมาร์ทโฟนวางไว้และทำการวิดีโอคอลร่วมกับผู้อื่นได้โดยไม่ต้องจับมือถือ เรียกได้ว่าเป็นประโยชน์กับผู้ที่มีข้อจำกัดทางร่างกายหลาย ๆ อย่างไม่น้อยเลย อีกทั้งยังสามารถแชร์หน้าจอขณะวิดีโอคอลได้อีกด้วย
ผู้ที่สนใจสามารถจับจอง Galaxy Z Flip 3 ได้แล้วเช่นกัน โดยมันมีสีสันให้เลือกทั้งหมดถึง 4 สี ได้แก่ ครีม, ลาเวนเดอร์, เขียว และดำ ไม่เพียงเท่านั้น หากทำการ สั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ Samsung โดยตรงยังสามารถปรับตัวเลือกสีเครื่องเพิ่มเติมได้อีก 3 สี ทั้งสีชมพู, เทา และขาว ในราคาเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์สหรัฐ (34,900 บาท)
ภาพจาก : https://www.samsung.com/th/smartphones/galaxy-z-flip3-5g/buy/
ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ที่พรีออเดอร์ Galaxy Z Fold 3 และ Galaxy Z Flip 3 ยังได้รับสิทธิประกันของ Samsung Care+ ที่คุ้มครองถึง 1 ปีเต็ม โดยผู้ใช้สามารถนำเอาเครื่องเข้าศูนย์ไปตรวจเช็คได้แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย และยังสามารถเปลี่ยนจอได้ในระยะเวลา 1 ปีนั้นด้วย (ไม่รวมกับประกันเครื่องทั่วไป)
ปิดท้ายด้วย Galaxy Buds 2 หูฟัง Wireless ตัวใหม่จาก Samsung ที่มีการพัฒนาให้ตัวเครื่องเล็กและเข้ากับสรีระของผู้ใช้มากขึ้น อีกทั้งยังมาพร้อมความสามารถอย่าง ANC (Active Noise Cancelling) ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดื่มด่ำกับเสียงเพลงหรือโฟกัสกับ Podcasts และการสนทนาพูดคุยได้โดยไม่มีเสียงรบกวนจากภายนอก หรือหากใช้งานระหว่างเดินทางและต้องการได้ยินเสียงภายนอกก็สามารถปรับโหมดการใช้งานได้อย่างง่ายดาย (ใช้งานร่วมกับ Galaxy Watch ได้อีกด้วย)
ภาพจาก : https://www.techadvisor.com/news/mobile-phone/samsung-launch-galaxy-z-fold-3-z-flip-3-watch-4-buds-2-3807332/
ในส่วนของเวลาการใช้งานเมื่อเปิดใช้โหมด ANC จะใช้งานติดต่อกันได้นานสูงสุดถึง 5 ชั่วโมง และ 7.5 ชั่วโมงหากปิดโหมด ANC ส่วนการใช้งานร่วมกับ Charging Case จะสามารถใช้งานได้สูงสุดถึง 20 ชั่วโมง (เมื่อเปิดโหมด ANC) สำหรับราคาของ Galaxy Buds 2 จะอยู่ที่ 149 ดอลลาร์สหรัฐ (3,990 บาท) และมีสีสันให้เลือกซื้อถึง 4 สี ได้แก่ ขาว, ดำ, เขียว และม่วงลาเวนเดอร์ แต่ตัวเคสภายนอกจะเป็นสีขาวล้วนทั้งหมด
|
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่.. |