โดยปกติแล้วในเครื่อง iPhone และ Apple Watch จะมีข้อมูล Medical ID (ข้อมูลสำคัญทางการแพทย์) ของผู้ใช้ที่สามารถเรียกดูได้โดยไม่จำเป็นต้องใส่รหัสผ่าน หากผู้ใช้เปิดการใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชัน Apple Health และกรอกได้ทำการข้อมูลเกี่ยวกับโรคประจำตัว, การแพ้อาหารหรือสารต่างๆ, ยาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ, กรุ๊ปเลือด และข้อมูลที่จำเป็นกับการช่วยเหลือทางการแพทย์อื่นๆ เอาไว้แล้ว
ภาพจาก : https://techcrunch.com/2020/05/06/your-iphone-will-soon-be-able-to-tell-911-about-your-medical-conditions-and-allergies/
ล่าสุดทาง Apple ก็ได้ออกมาประกาศว่าจะเพิ่มการอัปเดตการเชื่อมต่อข้อมูล Medical ID ของผู้ใช้ iPhone และ Apple Watch เข้ากับฟีเจอร์การแจ้งเหตุฉุกเฉิน (Emergency Service) เพื่่อให้ผู้ใช้สามารถที่จะได้รับความช่วยเหลือทางการแพทย์ได้อย่างทันท่วงที
ซึ่งหากผู้ใช้เปิดการทำงานของฟีเจอร์ทั้งสองร่วมกันแล้ว เมื่อกดเบอร์ฉุกเฉินหน้าจอของ iPhone จะปรากฏตัวเลือกขึ้นมาว่าจะส่งข้อมูล Medical ID ให้กับเจ้าหน้าที่ หรือส่งข้อความขอความช่วยเหลือ (Emergency SOS) ในรูปแบบอื่นๆ และหากผู้ใช้เลือกส่งข้อมูล Medical ID ก็จะทำการ ส่งตำแหน่งของผู้ใช้ในปัจจุบันพร้อมทั้งข้อมูล Medical ID ให้กับเจ้าหน้าที่ที่รับแจ้งเหตุ (หรือส่งข้อมูลไปยังผู้ติดต่อที่เราตั้งว่าเป็น Emergengy Call)
ภาพจาก : https://techcrunch.com/2020/05/06/your-iphone-will-soon-be-able-to-tell-911-about-your-medical-conditions-and-allergies/
และฟีเจอร์ดังกล่าวนี้เองก็จะทำงานร่วมกับ Apple Watch’s Fall Detection หรือฟีเจอร์ที่จะต่อสายตรงไปยังศูนย์รับแจ้งเหตุด่วนในทันทีเมื่อตรวจพบว่าผู้สวมใส่ Apple Watch มีการล้มลงอย่างฉับพลัน (สำหรับ Apple Watch 4 ขึ้นไป)
ทาง Apple แจ้งว่าจะปล่อยฟีเจอร์นี้ในเวอร์ชัน Beta ออกมาแล้ว และจะเพิ่มการอัปเดตนี้ให้กับผู้ใช้ทุกคนใน iOS 13.5 และ watchOS 6.2.5 ที่กำลังจะปล่อยออกมาให้ใช้งานกันในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้อีกด้วย
|
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่.. |