สามัญสำนึกคนทั่วไปนั้นรู้กันอยู่แล้วว่ามนุษย์ไม่ใช่อาหารและไม่ควรกิน ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม มันเป็นสิ่งที่ผิดทางด้านจริยธรรมและสังคมไม่อาจจะยอมรับได้
แต่เมื่อไม่นานมานี้มีแนวความคิดแปลกๆ เกิดขึ้นที่งานประชุม Gastro Summit โดยนักวิทยาศาสตร์นามว่า Magnus Soderlund ได้เสนอ วิธีการรับมือกับปัญหาสภาวะโลกร้อนแบบใหม่ ที่เราไม่คาดคิด นั่นคือ
(ภาพสำหรับประกอบบทความเท่านั้น)
รู้ว่าการกินมนุษย์มันไม่ควรแต่ทำไมนักวิทยาศาสตร์ถึงให้เสนอทางออกนี้ มันจะช่วยโลกได้อย่างไร เรามาดูเหตุผลกัน
ใน 1 ปี จะมีคนรอบโลกตาย ราวๆ 55 ล้านคน ซึ่งร่างกายคนจะมีคาร์บอน 18% ยกตัวอย่างเช่นคนหนัก 60 กิโล จะมีคาร์บอนเพียวๆ 10 กิโลกรัม และเมื่อตายไป 40 กิโลที่เหลือจะกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) นั่นหมายความว่า
"คนตาย 55 ล้านคน = ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2.2Gt (2.2 พันล้านตัน)"
จำนวนดังกล่าวเท่ากับ 6.7% ของปริมาณ CO2 ทั้งหมดในโลก หรือ เทียบเป็นปริมาณควันเสียรถยนต์ก็จะได้ ราวๆ 440 ล้านคัน ไม่คิดว่าการที่มนุษย์เสียชีวิตจะผลิตก๊าซได้มากขนาดนี้
จากตัวอย่างความคิดที่ได้เห็นนี้เป็นเพียงแค่ความคิดที่เปิดกว้าง เพราะจริงๆ แล้วไม่อาจจะทำได้ เขาบอกว่าการกินเนื้อมนุษย์ (Cannibalism) มันเป็นประเพณีต้องห้าม แต่เขาก็ยังเชื่อว่าถ้าหากผู้คนได้ลองและกาลเวลาทำให้สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปบางทีการกระตุ้นความคิดนี้ อาจจะช่วยมนุษยชาติได้ในอนาคต
ขอบคุณรูปภาพจาก : Shirley Lindenbaum
ก่อนจะถึงอนาคตเรามาดูประวัติศาสตร์กันก่อนเพราะการกินเนื้อมนุษย์มีผลข้างเคียง มีชนเผ่านึงในประเทศปาปัวนิวกินีมีประเพณีกินเนื้อพวกเดียวกันและสมอง (คนที่ตายแล้ว) ต่อมาได้มีการแพร่ระบาดของโรคขั้นรุนแรงมีชื่อว่า Kuru เมื่อติดเชื้อจะมีอาการสั่น ควบคุมร่างกายไม่ได้และตายในที่สุด
และจากการอ้างอิงทาง US National Library of Medicine พบว่าโรคแพร่ระบาดนี้มันเกิดจากโปรตีนพรีออน (Prion) ที่มีอยู่ในเยื่อหุ้มสมองมนุษย์ มีคนตายจำนวนมากจากเหตุการณ์นี้ จนสุดท้ายประเพณีการกินในรูปแบบนี้ก็ได้ยุติไปในปี 1960 เพื่อเป็นการลดการเกิดโรคติดต่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก
ซึ่งถ้าหากความคิดในการกินมนุษย์เพื่อลดโลกร้อนถูกใช้ขึ้นจริง ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์โรคแพร่ระบาดเช่นนี้อีกก็เป็นได้ ดังนั้นเรามาดูทางเลือกอื่นๆ กัน
เอาจริงๆ ทางเลือกอื่นๆ ในการลดมลภาวะและก๊าซคาร์บอน ก็มีให้เลือกอีกตั้งมากมาย ยกตัวอย่างเช่น
และนี่ก็เป็นหนทางออกอื่นๆ ที่เรายังทำได้ในขณะที่ยังมีชีวิต เพราะจำนวนประชากรมนุษย์โลกนั้นมีมากกว่าจำนวนคนตาย ไม่ต้องรอตายแล้วค่อยลดก๊าซคาร์บอน เพราะถ้าเราหันมาสนใจเรื่องรอบๆ ตัวกันมากขึ้น พวกเราทุกคนก็จะสามารถแก้ไขและก้าวข้ามปัญหานี้ไปด้วยกันอย่างยั่งยืน
|
It was just an ordinary day. |